วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

แว่นตาชีวิต

ใครรวยกว่าใคร ลองคิดดู

อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน

ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า.

.ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา

.อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

.เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า
ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน

คุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิต นี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด

ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา

ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก


จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้.....

รอยตะปูที่รั้วหลังบ้าน

เรื่องมีอยู่ว่า ..... มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขาถุงหนึ่ง 
และ บอกกับเขาว่า ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน 

วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ 
ในแต่ละวันที่ผ่านไป ...อย่างน้อยที่สุด ก็คือการรู้จัก ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ ซึ่งง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ 
และแล้วหลังจากที่สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบพ่อและบอกกับพ่อว่า 
เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็น 

พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายว่า ถ้าเป็น เช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว จาก 1 เป็น 2... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกมา ... 


เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !! พ่อไม่ได้พูดอะไร
แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ 
เห็นไหมว่ามันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็น .


จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้พูดคำขอโทษสักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น 

กับคนที่เรารัก ..คนที่เรารักและที่รักเรานั้นเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม 
เป็นคนที่คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ คอยเป็นคนที่ปลอบใจเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ 


...แสดงให้เขาเห็นว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไปไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ
และจงจำไว้เสมอว่า คำขอ โทษไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตามแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วคือ 
รอยร้าวที่เขาคงมันไม่อาจลืมได้........ตลอดไป 

ความต่างที่ดูไม่ออก

น้ำ 2 แก้วถูกวางอยู่บนโต๊ะ แก้วทั้งสองใบมีลักษณะเหมือนกัน และน้ำที่ถูกบรรจุก็ยังมีปริมาตรที่เท่ากัน 

ความใสของมันยากที่เราจะแยกแยะด้วยตาเปล่าออก น้ำสองแก้วถูกวางเปรียบเทียบกันเพื่อหาความแตกต่าง ระหว่างกัน แน่นอนหากไม่มีเครื่องมือเข้าช่วยเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าน้ำทั้งสองแก้วมีความแตกต่างกันอย่างไร 

น้ำแก้วแรกถูกนำมาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์บนยอดเขาอันแสนไกล และยากที่จะสามาถนำกลับมาได้ในเวลาเพียง 1-2 วัน

ส่วนแก้วที่ 2 ซื้อมาจากร้านค้าข้างบ้าน..

แค่แหล่งที่นำมาก็เพียงพอที่จะบอกถึงความแตกต่างของน้ำทั้งสองแก้วนี้ได้
แต่ถ้าให้ผมลองพิสูจน์ดื่มน้ำทั้งสองแก้วนี้ดู สมมุติว่าผมกำลังกระหายน้ำมากและในขณะนั้นมีน้ำวางอยู่สองแก้ว ผมไม่รู้เลยว่าทำไมต้องมีน้ำวางอยู่สองแก้ว และทั้งสองแก้วมันไม่เหมือนกันยังไง ผมอาจจะยกมันขึ้นมาดูตะกอน เพื่อให้แน่ใจว่าสะอาด

แต่แล้วผมคิดว่ายังไงผมก็ต้องยกมันขึ้นมาดื่ม หนึ่งในแก้วใบใดก็ใบนึง ที่ผมคิดว่าสะอาดที่สุด และยากมากที่ผมจะรู้ว่าน้ำแก้วไหนดีที่สุด

คราวนี้ลองใหม่ ลองเอาน้ำที่ซื้อจากข้างบ้านใส่ลงไปในบรรจุภัณฑ์หรูหรา ดูแล้วสะอาดน่าดื่ม และน้ำที่หายากที่สุด นำมาใส่ในแก้วใสเก่าๆแทน แล้วนำไปวางไว้ที่เดิม ผมหิวน้ำ เดินมาเจอ.แน่นอนว่าน้ำถูกๆในภาชนะสวยหรูย่อมเป็นที่ดึงดูดก่อน และยิ่งผมไม่เห็นตระกอน และสิ่งแปลกปลอมด้วยแล้วนั้น น้ำในแก้วใบนี้ย่อมต้องถูกเลือกเป็นธรรมดา แต่น้ำที่ดี และหายากที่สุดกลับถูกมองข้ามไป. 

แต่ยังไงน้ำก็คือน้ำ ประโยชน์ของมันเท่ากัน

แต่ถ้าเปลี่ยนจากน้ำเป็นคนล่ะ

คุณจะตัดสินเขาอย่างไร..

หรือจะตัดสินอะไรหรือใครในครั้งแรกที่คุณพบ

โชคดี...โชคร้าย อยู่มุมมอง

ที่หอผู้ป่วยบัติเหตุ

คุณลุงวัย 50 เข้ามานอนรพ.ด้วยอุบัติเหตุแก๊สที่บ้านรั่วและระเบิดใส่ตอนจะทำอาหาร
คุณลุงรอดมาได้แต่มีแผลไฟไหม้เต็มไปทั้งตัว

วันนั้นพยาบาล(คุณแม่ของหมอ)เข้าไปดูแลพูดคุยตามปกติ
รู้สึกแปลกใจที่คุณลุงนั้นอารมณ์ดี


ผิดกับคนไข้ที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ส่วนใหญ่ ที่มักจะซึมเศร้า 
เพราะนอกจากจะเจ็บแผลแล้ว ยังต้องเสียโฉมจนแทบจะจำไม่ได้
จึงได้ลองเข้าไปสอบถามดู


พยาบาล : คุณลุงไม่เครียด ไม่เศร้าเลยเหรอที่โชคร้ายเกิดเรื่องแบบนี้

ลุง : โชคร้ายยังไง นี่ลุงว่าโชคดีมากเลยนะ

พยาบาล : โดนแก๊สระเบิดเนี่ยนะโชคดี โชคดียังไงคะ

ลุง : โชคดีสิ ที่ลุงเป็นคนที่กลับไปบ้านก่อนวันนั้น
- เพราะปกติจะต้องเป็นลูกสาว 
- ที่เป็นคนทำอาหาร
- โชคดีจริงๆ 
- ที่เป็นลุง


-ความสุขในชีวิตมีได้แม้ในยามที่มีเรื่องร้ายๆ อยู่ที่ใจเราจะมองมันในแง่ไหน
-ความรักของคนเป็นพ่อแม่ ยิ่งใหญ่เสมอจริงๆ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560

ความหมายของคำว่า "ชอบคนพูดตรงๆ"

ถ้าใครมาบอกว่า “ชอบคนพูดตรงๆ”
ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราพูดตรงๆกับเค้า 
แล้วเค้าจะชอบเรานะ มันคนละเรื่องกัน
ที่เค้าชอบก็จริงอยู่ตรงที่.......
เค้าได้รู้ความจริง (จากเรา) 
แต่ในใจจะเคืองหรือเปล่านี่อีกเรื่อง
และก็ไม่ได้หมายความว่า........
เค้าจะชอบพูดตรงๆกับเราเหมือนกัน
บางทีคำว่าชอบคนพูดตรงๆ 
อาจเหมือนเป็นการให้เราหงายไพ่ในมือ ก็เท่านั้น

คำคมสูตรร่ำรวย

“เรื่องรายได้” อย่านิ่งนอนใจกับรายได้เพียงทางเดียว ควรลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง
“เรื่องใช้จ่าย” ถ้าคุณมัวแต่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่นานคุณจะต้องขายสิ่งที่จำเป็น
“เรื่องการเก็บออม” อย่ารอเก็บเงินออมหลังจากใช้จ่าย จงใช้จ่ายจากเงินที่เหลือจากการออม
“เรื่องความเสี่ยง” อย่าวัดความลึกของแม่น้ำโดยใช้เท้าทั้งสองข้าง
“เรื่องการลงทุน” อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียว
“เรื่องความคาดหวัง” ความซื่อสัตย์คือของขวัญอันล้ำค่า จงอย่าหวังจะได้มันจากคนที่ไร้ค่า

คมความคิด จาก Warren Buffet

สิ่งที่คนไม่ตรงต่อเวลาอาจจะไม่รู้

สิ่งที่คนไม่ตรงต่อเวลาอาจจะไม่รู้.......

-คนอื่นๆจะคิดว่าเรามีแนวโน้มจะไม่รับผิดชอบเรื่องอื่นๆด้วย
-หัวหน้าอาจจะลังเลใจ เมื่อต้องมอบงานใหญ่ให้
-คนอื่นๆบอก “ไม่เป็นไร” แต่ในใจเค้าอาจต่อว่าก็ได้
-คนที่หวังดีกับเราอาจต้องเสียหน้า หากคอยแก้ตัวให้ตลอด

เวลา...โอกาส

“เวลา” กับ “โอกาส”
เป็นสองอย่างที่ไม่เคยรอเรา
ถ้ามันมาแล้วไม่รีบคว้าเอาไว้
จะเป็นการยากที่จะได้พบมันอีกหน.....

ความพยายาม...ที่ไม่สิ้นสุด

น้ำมันที่มันไม่ร้อน....
ทอดอะไรก็ไม่สุก
เหมือนกับความพยายาม
ถ้าไม่พยายามให้ถึงที่สุด
ก็จะไม่มีทางเกิดผลสำเร็จได้

เข็มนาฬิกา

นาฬิกา....เข็มวินาที
เดินตลอดเวลาไม่มีหยุดพัก
แต่คนที่มองเวลา…
กลับมองที่เข็มชั่วโมงก่อนเสมอ
ทั้งๆที่…ในหนึ่งชั่วโมง
มันเดินแค่ครั้งเดียว........

ความศรัทธา....

ความศรัทธา......
เหมือนปราสาททราย
สร้างขึ้นยากและใช้เวลา
แต่ทำลายง่าย.....และใช้เวลาไม่นาน

กาฝากชีวิต

ที่บ้านผมมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ผมรักมาก แต่ต้นไม้ต้นนี้มักเจอกับศัตรูคุกคามอยู่บ่อยครั้ง ศัตรูที่ผมพูดนี้ไม่ใช่หนอนหรือแมลงหรือโรค แต่มันคือ ...