วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561
กาฝากชีวิต
ขยัน แต่......
ถ้าเราเห็นใครที่ทำงานแข็งขัน เอาการเอางาน และสม่ำเสมอ นั่นคือลักษณะของคนขยันซึ่งตรงกันข้ามกับคนเกียจคร้าน เขาจะทำตรงกันข้ามกับลักษณะที่กล่าวมาแล้ว ความขยันในตัวคนเป็นต้นทุนอันสำคัญประการหนึ่งที่จะนำความสำเร็จมาสู่ชีวิต ขณะที่ความเกียจคร้านนำมาซึ่งความหายนะและขัดสน
ความขยันหรือความเกียจคร้านไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ หรือเรื่องเวรเรื่องกรรม แต่เป็นพฤติกรรมที่ได้มาจากการเรียนรู้และการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล แต่ละคนสามารถเลือกที่จะเป็นคนเกียจคร้านหรือเป็นคนขยันได้ บางคนโทษสภาพแวดล้อม โทษอากาศ โทษบุคคลรอบข้าง ฯลฯ เพื่อจะสร้างเหตุผลสนับสนุนตนเองที่เขาขี้เกียจนั้นมีเหตุผลพอรับฟังได้
คนขยันไม่มองดูท้องฟ้า ฝนจะตก แดดจะร้อนหรือหนาว เขาตื่นแต่เช้า ขมีขมันตั้งใจทำงานให้ได้ผลสูงสุดกับเวลาและแรงงานที่เสียไป ความขยันหมั่นเพียรอยู่เคียงคู่กับบุคคลที่มีวินัยในชีวิต ไม่ใช่คนขยันจะรวยทุกคน แต่ที่แน่นอนคนขยันหางานทำไม่มีวันอด และอนาคตไม่มีวันดับ
แต่สิ่งที่คนขยันจะต้องระมัดระวังคือจะต้องแยกให้ออกระหว่างความขยัน ความกระตือรือร้น การเอาการเอางาน กับ ความรีบร้อนซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Haste ในพระธรรมสุภาษิตซึ่งถือว่าเป็นหนังสือแห่งสติปัญญากล่าวว่า “แผนงานของคนขยันนำมาซึ่งผลกำไร เช่นเดียวกับที่ ความรีบร้อนนำมาซึ่งความขัดสน”
สุภาษิต 21:5 คนขยันที่ชาญฉลาดเป็นคนมีความสุขุมไม่ด่วนตัดสินใจด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ของตนเองหรืออารมณ์ของกระแสสังคม หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญจะต้องรีบตัดสินใจ แต่มันตรงกันข้ามยิ่งเรื่องใหญ่และสำคัญมากเท่าใด เราจะต้องไม่รีบร้อนในการตัดสินใจทำเพราะความผิดพลาดหมายถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เราอยู่ในยุคที่ต้องช่วงชิงโอกาส เรามีคนมากมายที่เสนอตัวชี้นำโอกาสที่ดูเหมือนดีสุดยอด คำท้าชวนดูจะแตะใจและเคลื่อนความรู้สึก แต่ช้าก่อนจงมีสติ มีภาษิตสอนใจว่า “วัดผ้าสองครั้งแล้วตัดดีกว่าวัดครั้งเดียวแล้วตัดสองครั้ง” ภาษิตชาวรัสเซียพูดว่า “ก่อนคุณจะกระโดดลงสระขอไปหยั่งเท้าดูก่อนว่ามันตื้นหรือลึกขนาดไหน”
จงเป็นคนขยันแต่อย่าประมาท อย่าเร่งรีบ จงมีสติ
วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561
วิธีแก้รอยฟกช้ำ รักษาอย่างไรให้หายเร็วที่สุด
เคยไหมที่บางครั้งอยู่ๆ ผิวหนังก็มีรอยฟกช้ำแบบไม่รู้ตัว อาจเกิดจากความไม่ตั้งใจ เดินไปชนโต๊ะหรือเก้าอี้ ทำให้มีรอยช้ำที่ศอกบ้าง เข่าบ้าง ถ้าเผลอไปโดนก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ แถมเห็นม่วงๆ มาแต่ไกล คุณอย่ากังวลไปเลย รอยฟกช้ำนี้จะหายไปเอง แต่ใช้เวลาค่อยข้างนาน จะเอารองพื้นทาก็ปิดไม่มิด ถ้าวันนั้นต้องไปออกงานแล้วด้วย จะทำยังไงดี? อยากรู้วิธีแก้ไข ฟังทางนี้เลย......
วิธีรักษารอยฟกช้ำอย่างเร่งด่วน
- ใช้น้ำแข็งประคบ เอาง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ น้ำแข็งจะช่วยให้เส้นเลือดบริเวณที่ฟกช้ำหดตัว รอยจะไม่ขยายขึ้น ถือเป็นวิธีจำกัดรอยเอาไว้ไม่ให้แผ่กว้างให้ดูน่าเกลียดนั่นเอง หรือเราจะเปลี่ยนจากน้ำแข็งเป็นเจลทำความเย็นก็ได้ เลือกเอาที่เราสะดวกค่ะ
- ประคบทิ้งไว้ไม่เกิน 15 นาทีต่อชั่วโมง
- หลังจาก 24 ชั่วโมงแล้วให้ประคบร้อน เพื่อทำให้เลือดบริเวณนั้นไหลเวียนได้ดีขึ้น
- การประคบร้อนสามารถใช้ถุงน้ำร้อนหรือขวดบรรจุน้ำร้อนที่พันด้วยผ้า เพื่อป้องกันความร้อนที่ร้อนจนเกินไปมาประคบ
- ให้ประคบร้อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- หากรอยฟกช้ำเกิดขึ้นบริเวณแขนหรือขา ให้ยกแขนหรือขาให้สูงเพื่อให้เลือดไหลเวียนสะดวก แต่ถ้าเกิดบริเวณลำตัวล่ะก็ ไม่ต้องยกก็ได้ค่ะ จะลำบากไปเนอะ
การดูแลรักษารอยฟกช้ำเพิ่มเติม เราควรฟื้นฟูร่างกายเพื่อให้รอยฟกช้ำหายเร็วขึ้น หลังจากที่เราทำตามขั้นตอนด้านบนแล้วให้ปฏิบัติตามนี้ด้วยนะคะ
- ทานอาหารที่มีวิตามินซีและฟลาโวนอยด์สูง วิตามินพวกนี้ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนทำให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น เราจะพบวิตามินเหล่านี้ได้ในอาหารจำพวก ผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว พริกหยวก สับปะรดและพรุน นั่นเอง
- ขยายหลอดเลือดด้วยการทาเจลอาร์นิก้าหรือเจลว่านหางจระเข้ เราสามารถหาซื้อเจลพวกนี้ได้ตามร้านขายยาทั่วไปเลยค่ะ
- ใช้ลูกประคบ เพื่อแก้รอยฟกช้ำได้ด้วยค่ะ ด้วยภูมิปัญญาอันล้ำค่าของไทย โดยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาอีกเช่นกัน แต่ถ้าหากต้องการทำเอง เราก็มีให้
วิธีทำลูกประคบสมุนไพรทำเองได้ง่ายๆ
สูตรใบรางจืด ใช้ใบรางจืด 1 กำมือ ล้างและนำมาตำให้ละเอียดผสมกาบูร 1 หยิบมือ ห่อด้วยผ้าขาวบาง นึ่งให้อุ่นก่อนนำมาใช้งาน สูตรนี้เป็นสูตรเย็น เหมาะสำหรับแผลฟกช้ำที่มีอาการปวดบวมอักเสบ
สูตรใบขิง ใช้ใบขิง 1 กำมือ ล้างและนำมาตำให้ละเอียดผสมกับกาบูร 1 หยิบมือ ห่อด้วยผ้าขาวบาง นึ่งให้อุ่นก่อนนำมาใช้งาน สูตรนี้เป็นสูตรร้อนใช้แก้อาการฟกช้ำที่ไม่มีอาการปวดบวมร่วมด้วย
จากนั้นนำลูกประคบที่ได้ ไปประคบที่รอยฟกช้ำประมาณ 10 นาที เช้า – เย็นจนกว่ารอยฟกช้ำจะหายไป
วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561
วิธีขจัดรังแคบนศรีษะอย่างได้ผล
ปัญหารังแคที่พบส่วนมากจะมี 2 ชนิด คือ รังแคเปียก และรังแคแห้ง และเจ้ารังแคทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนเกิดความกังวลใจอย่างมาก เพราะรังแคสามารถมองเห็นได้ชัดจนทำให้ความเสียความมั่นใจและเมื่อเกาหัวเพื่อลดอาการคันจากรังแค ก็ยังทำให้เสียบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก นอกจากรังแคยังเป็นสาเหตุให้เกิดผมร่วงอีกด้วย
วันนี้ทางเราจึงนำวิธีการขจัดรังแคที่รบกวนใจใครหลายๆคนมาฝาก ดังนี้
1.ใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูที่มีสารในการขจัดรังแค ควรเลือกซื้อแชมพูที่มีตัวยารักษาและขจัดรังแคชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น ซิงค์ไพริไทออน, ซีลีเนี่ยมซัลไฟด์, คีโทโคนาโซล, พรอคโทนโอลา เพื่อช่วยให้การขจัดรังแคมีประสิทธิภาพและหายได้เร็วมากขึ้น
วันนี้ทางเราจึงนำวิธีการขจัดรังแคที่รบกวนใจใครหลายๆคนมาฝาก ดังนี้
1.ใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูที่มีสารในการขจัดรังแค ควรเลือกซื้อแชมพูที่มีตัวยารักษาและขจัดรังแคชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น ซิงค์ไพริไทออน, ซีลีเนี่ยมซัลไฟด์, คีโทโคนาโซล, พรอคโทนโอลา เพื่อช่วยให้การขจัดรังแคมีประสิทธิภาพและหายได้เร็วมากขึ้น
2.สระผมให้ถูกวิธี รู้หรือไม่ว่าการสระผมทุกวันเป็นสาเหตุให้ผมมันและเกิดเป็นรังแค ดังนั้นควรสระผมแค่สัปดาห์ละ 3-5 ครั้งเท่านั้นและในขณะสระผมควรนวดศีรษะ ให้ทั่วและทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกให้สะอาด หลังจากนั้นให้เช็ดผมให้แห้ง และที่สำคัญไม่ห้ามนอนในขณะผมเปียกโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ
3.ทำความสะอาดเครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ส่วนตัวเป็นแหล่งหมกหมม เชื้อราและเชื้อโรคทั้งหลายที่ก่อให้เกิดรังแคโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ควรไม่ใช้สิ่งของเหล่านี้ร่วมกับผู้อื่นและควรทำความสะอาดเครื่องใช้ส่วนตัว อาทิเช่น หวี ผ้าเช็ดผม ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี
เพราะปัญหารังแคส่วนมากมีสาเหตุมาจากการดูแลสุขภาพผมและการใช้เครื่องใช้ส่วนตัว ดังนั้นแค่เพียงท่านรักษาความสะอาดใช้แชมพูที่มีคุณภาพสระผมและดูแลสุขภาพผมตามวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ ปัญหารังแคบนหนังศีรษะเหล่านี้ก็จะหมดไป
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561
สิ่งที่เรามองข้าม......
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความยับยั้งใจน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ตระกูลของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพอนามัยกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความริษยามากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากลำบาก...
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น...จากนี้ไป...ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ "โอกาสที่พิเศษสุด" แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ...อยาก....
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น...
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า...สักวันหนึ่ง...ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้...
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า..สักวันหนึ่ง...วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
Credit : http://happyhappiness.monkiezgrove.com/
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ตระกูลของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพอนามัยกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความริษยามากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากลำบาก...
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น...จากนี้ไป...ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ "โอกาสที่พิเศษสุด" แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ...อยาก....
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น...
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า...สักวันหนึ่ง...ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้...
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า..สักวันหนึ่ง...วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
Credit : http://happyhappiness.monkiezgrove.com/
8 วิธีช่วยรักษาแผลจากรองเท้ากัด
รองเท้ากัดเป็นปัญหาที่พบบ่อยและเป็นความทุกข์ใจเพราะส่วนมาก เพราะมักจะเป็นรองเท้าคู่ใหม่ที่เราชอบหรือว่าพึ่งซื้อมานั้นกลับทำให้เท้าเราเจ็บ ในบางครั้งการที่รองเท้ากัดนั้นจะทำให้เกิดเป็นแผลที่มีขนาดใหญ่หากมีเชื้อโรคเข้าไปก็จะทำให้ติดเชื้อและอักเสบตามมาได้และเมื่อเป็นแผลก็ไม่สามารถใส่รองเท้าอื่นได้ ปัญหานี้เจอกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะว่าผู้หญิงนั้นมักเปลี่ยนรองเท้าบ่อยและยังเป็นรองเท้าส้นสูงอีกด้วย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วแผลที่เป็นจะหายช้าเราจึงมีวิธีในการรักษาด้วยธรรมชาติทำให้แผลที่เป็นนั้นหายเร็วได้
1.น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะพร้าวที่ขายตามท้องตลาดช่วยลดอาการรองเท้ากัดได้ด้วย น้ำมันในมะพร้าวจะรักษาผิวของเรา และจะช่วยลดอาการอักเสบของแผลทำให้ลดอาการปวดแสบปวดร้อนของแผลรองเท้ากัดได้ โดยการนำน้ำมันมะพร้าวผสมกับการบูรใช้ทาที่บริเวณรองเท้ากัดวันละ 2 ครั้ง จะทำให้อาการเจ็บปวดลดลงได้
2.น้ำผึ้ง น้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลที่เกิดจากร้องเท้ากัดได้สามารถสมานแผลที่ซ้ำหรือว่าลอกได้ดี ลดอาการเจ็บและแสบได้ควรใช้น้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติจะดีที่สุด ใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำมันงาอย่างละส่วนให้เท่ากันใช้ทาบริเวณที่รองเท้ากัดจากนั้นก็ล้างด้วยน้ำอุ่น ทำวันละสองครั้งจนกว่าจะหาย หรือใช้น้ำผึ้งอย่างเดียวทาวันละ 3 ครั้ง
3.แป้งข้าวจ้าว แป้งข้าวจ้าวสามารถที่จะขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่าย ซึ่งทำความสะอาดและเป็นการผลัดเซลล์ที่แผลได้ดี ผสมน้ำกับแป้งข้าวจ้าวให้พอกบริเวณที่รองเท้ากัดโดยการพอกเป็นเวลา 15 นาทีหรือว่าจนกว่าแผลจะแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นทำซ้ำวันละ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์จนกว่าแผลจะหาย
4.ว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติบรรเทาอาการอักแสบและการปวดแสบปวดร้อนได้เป็นอย่างดี สามารถรักษาแผลที่เกิดจากรองเท้ากัดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังช่วยไม่ให้เกิดอาการติดเชื้ออีกด้วย ใช้เจลว่านหางจระเข้ทางบริเวณที่รองเท้ากัดหรือว่าใช้ว่านหางจระเข้ที่สดๆทาไว้จนกว่าจะเหนี่ยวแล้วรอให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำซ้ำวันละ 3 – 4 ครั้ง
5.น้ำแข็ง น้ำแข็งรักษาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดี นำน้ำแข็งมางานไว้บริเวณที่ถูกรองเท้ากัดโดยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที สามารถที่จะทำได้วันละหลายครั้งตามต้องการ
6.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สามารถที่จะฆ่าเชื้อโรคได้และลดอาการระคายเคืองลดอาการติดเชื้อได้อีกด้วย ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หยดลงไปที่สำลีในปริมาณที่เล็กน้อย ถูบนบริเวณที่รองเท้ากัดให้ทาบ่อยๆต่อวัน
7.ยาสีฟัน ยาสีฟันสามารถที่จะทำให้แผลที่โดนรองเท้ากัดนั้นแห้งได้ง่าย เพราะยาสีฟันมีส่วนผสมของสารที่ใช้ลดอาการปวดแสบปวดร้อนได้และทำให้แผลแห้ง ใช้เพียงเล็กน้อยทาที่บาดแผลทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง ทำความสะอาดด้วยการเช็ดออกใช้วาสลีนทาอีกครั้ง ทำทุกวันจนกว่าแผลจะหาย
8.มะนาว มะนาวที่มีรสเปรี้ยวตามธรรมชาติมียาฆ่าเชื้อโรคและลดอาการคัน รักษาในเรื่องของแผลเป็นได้ ใช้สำลีโดยการบีบมะนาวลงไปในสำลีก่อนแล้วจึงค่อยนำไปเช็ดที่แผล รอให้แห้งแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นใช้วิธีการนี้วันละ 2 – 3 ครั้ง
เคล็ดลับในการป้องกันรองเท้ากัด
1.เลือกรองเท้าคู่ใหม่ให้เลือกรองเท้าที่มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือว่าน้ำหนักให้พอดี สวมใส่สบาย
2.ควรเลือกรองเท้าที่ใส่แล้วพอดีไม่คับหรือว่าหลวมไป
3.ก่อนที่จะแน่ใจการเลือกรองเท้าควรเลือกแล้วทดลองเดินไปรอบๆ เพื่อดูความพอดีในการส่วนใส่ให้เหมาะสม
4.ใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวในบริเวณที่เกิดรองเท้ากัด โดยทาที่รองเท้า 3 วันติดต่อกันก่อนที่เราจะน้ำมาใส่
5.หาแผลที่รองเท้ากัดที่มีขนาดใหญ่หรือว่าหายช้าควรไปพบแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
2.ควรเลือกรองเท้าที่ใส่แล้วพอดีไม่คับหรือว่าหลวมไป
3.ก่อนที่จะแน่ใจการเลือกรองเท้าควรเลือกแล้วทดลองเดินไปรอบๆ เพื่อดูความพอดีในการส่วนใส่ให้เหมาะสม
4.ใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวในบริเวณที่เกิดรองเท้ากัด โดยทาที่รองเท้า 3 วันติดต่อกันก่อนที่เราจะน้ำมาใส่
5.หาแผลที่รองเท้ากัดที่มีขนาดใหญ่หรือว่าหายช้าควรไปพบแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
รัก 7 แบบที่ไม่ควรคาดหวัง
หนุ่มสาวสมัยนี้เจอกันแป๊ปเดียวไฟฟ้าก็ลัดวงจรซะแล้ว แต่ทุกครั้งที่สปาร์คกัน ทุกคนก็คงหวังว่ารักนั้นจะอยู่ยั้งยืนยงอมตะนิรันดร์กาล แต่สำหรับความรัก 7 แบบนี้....ขอเตือนว่าอย่าหวังมากจะดีกว่า ไปดูกันเลยว่ารักแบบไหนบ้างที่ไม่ควรหวัง!!!!!!
1. รักเพราะเหงา
ความรักแบบนี้จะเกิดกับคนที่ประกาศหาแฟนมาชาติกว่าแล้วก้ยังไม่มีใครยอมเสี่ยงตามมาเป้นหวานใจเสียที เลยออกแนวเศร้า เหงา เว็งทีนี้ล่ะพอมีใครผ่านมาก้คว้าเรียบ ขอให้เป็นเพสตรงข้ามเป็นพอ แต่พอคบกันไปสักพัก ความเหงาหายไปหุตาพลอยสว่าง ถึงได้เห็นว่าอีตาอ้วนดำคนนี้ยังห่างไกลสเป็คเราหลายขุมนัก แล้วมันเรื่องอะไรคนสวยเลือกได้ (แต่ไม่มีคนมาให้เลือก) อย่างชั้นจะมาคบนายให้เสียเวลายะ ว่าแล้วก้บอกเลิกวะเลย จบข่าว!
2. รักทางเน็ต
ก็ในเน็ตมีใครเค้าบอกความจริงกันบ้างล่ะ ว่าชีวิตชั้นผ่านผุ้ชายมา 17 คนแล้ว เป็นเกย์ไปซะ 7 ติดเอส์ไปวะ 3 แวทเข้าไปเถอะ รับรองคุณจะได้เจอแต่พวกรูปหล่อพ่อรวย สวยเหมือนนางงามจักวาลทั้งนั้น ขนาดภาพยังเอารูปเพื่อนมาลง ไม่ก้เป็นภาพพรีทัชบลสิวลบปานดำ เติมปากให้อิ่มทำตาให้โต เปลี่ยนทรงผมให้เก๋ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เอ๊ะ! นี่มันเปลี่ยนทั้งหัวเลยนี่หว่า แซทกันอยู่สามเดือน พอถึงเวลานัดมาเจอตัวจริงแทบวิ่งหนีป่าราบ แล้วจะไม่ให้เลิกได้ไงล่ะ
3. รักผัวเขา
ตอนเจอกันใหม่ๆ ในร้อยคนต้องมีซะ 80 ที่ไม่รู้ว่าหนุ่มหล่อคนนี้มีเจ้าของอยู่แล้ว(แต่ก้มีเหมือนกันที่รู้ทั้งรู้แต่ตูก็จเอา) พอรู้ความจริง แรกๆ เราอาจจะยอมทนเป็นกีกได้เพราะคิดว่าเขาเลิอกกันเมื่อไหร่ ตำแหน่งตัวจริงคงไม่ไปไหนเสีย แต่รอเท่าไหร่เบอร์หนึ่งก้แก่ง่ายตายช้าไม่เลิกรากับหวานในเสียที แล้วมันเรื่องอะไรกิ๊กอย่างเราจะยอมทน เพราะวัยสาวมันมีเวลาจำกัดขืนรอนานๆ เดี๋ยวก้ได้ขึ้นคานกันพอดีสิ
4. รักโปรโมท
ข้อนี้แต่ก่อนจำกัดอยู่ในวงการบันเทิง ช่วงไหนหนังจะเข้าละครจะฉายก็เอาแล้ว ต้องมีใครขึ้นมาทันที พอละครจบรักก้จบตาม แต่เดี๋ยวนี้รักโปรโมทกระจายไปทุกหย่อมหญ้า โดยมากมักจะเป็นในหฒุ่คนกินแห้ว แอบรักเขาเขาไม่สน เลยต้องจัดฉาดเรียกเรทติ้งด้วยการเอาเพื่อนมาเล่นละครเป็นเพื่อนมาเล่นละครเป็นแฟน พอเป้าหมายตกหลุมพรางหลวมตัวมาจีบแล้ว ถึงเวลาไสหัวเพื่อนกลับไปเดินสะดิ้งดุ้งดิ้งคนเดียวเหมือนเดิม
5. รักที่เงิน
คติประจำใจของชทรมกระสือมีอยู่ว่า หนังหน้าแย่ไม่เป็นไร ขอให้กระเป๋าตุงไว้ก่อน เป็นที่มาของคู่กิ่งทองใบตำแยทั้งหลายที่เราเห็นกันส่วนใหญ่ฝ่ายที่เงินมักจะหน้าตาพอดูได้ (ถ้าปิดไฟ) ส่วนกระสือนักสูบสวยล้ำหล่อเลิศแต่จนสต่างค์ ความรักแบบนี้จะหมดอายุได้ในสองกรณีหนึ่งคือฝ่ายมีตังค์เกิดไม่สบาย เป้นโรคขี้เบื่อ ทนเห็นอะไรซ้ำวากไม่ได้ต้องเปลี่ยนแฟนบ่อยๆ ไม่ก็ในกรณีที่สองคือผ่ายมีเงินจับได้ว่าสาวสวยสูงเนไปเลี้ยงแฟนตัวจริง ถ้าไม่เจอสองข้อนี้นิยามความรักฉบับสตอเบอแหลก็จะดำเนินต่อไปตราบนานเท่านาน
6. รักแบบกิ๊กๆ
กฎข้อบังคมของกีกก็มีอยู่แล้วว่าห้ามผุกพัน ห้ามดื๊อ ห้ามยื้อ ห้ามทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ และกีกไม่ไช่ชู้ เมื่อไหร่แฟนรู้ต้องเลิก นั้นรักแบบกีกๆ จึงเป้นรักที่มาเร็วไปเร็วที่สุด แฟนตัวจริงเดินเฉียดมาในระยะ 100 เมตร กิ๊กก้เสียชีวิตไปวะแล้วเหลือแต่คนแปลกหน้า 2 คนเท่านั้นเอง
7. รักเพราะสปอตไลท์
รักแบบนี้มักเกิดในแหล่งท่องเที่ยวยามราตรี พอโดนสปอตไลท์ส่องมาราศีก้จับให้ทุกคนกลายเป็นดัชช่บอยแอนด์เกิร์ลกันไปหมด ไปฟ้าเลยลัดลงจรง่ายยักย้ายส่ายสะดพกไม่กี่เพลง น้องก็โอเครับรักี่แล้ว แต่พอรุ่งขึ้นเจอกันในแสงธรรมชาติ หน้าที่เคยสวยใสทำไมมันดันมีแต่รอบสิวฝ้ากระครบเซ้ตหว่า เมื่อความจริงเปิดเผยออกมา ความหวังก็เลยสลายไปในบัดดล
ที่มา : นิตยสาร SPICY
8 วิธีช่วยแก้ปากแห้ง
ปากแห้ง ปากแห้งที่ว่านี้ปากแห้งที่ด้านในไม่ใช่ที่ริมฝีปาก อาการปากแห้งที่ว่าจะทำให้เคี้ยวอาหารลำบากน้ำลายน้อยและการกลืนก็ลำบากเช่นกัน แล้วยังส่งผลต่อริมฝีปากให้แห้งอีกด้วย และมีผลอื่นๆตามมาเช่น แผลในปาก กลิ่นปาก มักมีสาเหตุจากอาจจะเกิดจากร่างกายเราผิดปกติไป เกิดจาการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของน้ำลายทำให้ผลิตน้ำลายลดลง อาจจะเกิดความเครียดของผู้นั้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิด การรักษาด้วยรังสีเคมี และอื่นๆ อาการปากแห้งสามารถรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ
1.การดื่มน้ำ การที่ร่างกายของเราได้รับน้ำที่เพียงพอเป็นเรื่องที่จำเป็นมากหากได้รับน้ำน้อยก็จะทำให้ปากเราแห้งได้ง่าย ดั้งนั้นการดื่มน้ำให้มากๆ จะทำให้ร่างกายเราลดอุณหภูมิลงและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับปากในการผลิตน้ำลาย
–ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ให้สม่ำเสมอ
–หากเป็นน้ำผลไม้หรือน้ำผักจะดีมากอย่างเช่นน้ำแตงโม น้ำแตงกวา น้ำใบบัวบก
–หรือดื่มน้ำมะพร้าววันล่ะ 1 – 2 แก้วทุกวัน
–กินอาหารที่อ่อนและย่อยได้ง่าย
–ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ให้สม่ำเสมอ
–หากเป็นน้ำผลไม้หรือน้ำผักจะดีมากอย่างเช่นน้ำแตงโม น้ำแตงกวา น้ำใบบัวบก
–หรือดื่มน้ำมะพร้าววันล่ะ 1 – 2 แก้วทุกวัน
–กินอาหารที่อ่อนและย่อยได้ง่าย
2.พริกป่น จากความเผ็ดร้อนของพริก สามารถทำให้กระตุ้นต่อมน้ำลายออกมาได้
–ใช้พริกป่นแตะที่บริเวณนิ้วมือให้ถูไปรอบๆ ลิ้น จะทำให้มีอาการเผ็ดแต่น้ำลายจะไหลออกมามากขึ้น
–ใช้พริกป่นในการประกอบอาหาร
–ใช้พริกป่นแตะที่บริเวณนิ้วมือให้ถูไปรอบๆ ลิ้น จะทำให้มีอาการเผ็ดแต่น้ำลายจะไหลออกมามากขึ้น
–ใช้พริกป่นในการประกอบอาหาร
3.เมล็ดยี่ร่า เมล็ดของยี่ร่านั้นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำลาย ยังช่วยในการระงับกลิ่นปากได้ดี
–ให้เคี้ยวหรือว่าแทะเมล็ดยี่ร่า ในหลายครั้งต่อ 1 วัน
–ใช้ผสมกับข้าวกินวันละ 3 มื้อ
–ให้เคี้ยวหรือว่าแทะเมล็ดยี่ร่า ในหลายครั้งต่อ 1 วัน
–ใช้ผสมกับข้าวกินวันละ 3 มื้อ
4.ว่านหางจระเข้ สมุนไพรที่ใช้กันมาอย่างยาวนานเป็นการสมานและกระตุ้นความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง นอกจากนั้นยังช่วยปกป้องผิวในปากของเราได้
–ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ทุกวันประมาณ 1 – 2 แก้วทุกวัน
–มีบางคนไม่สามารถดื่มได้ก็ทำเป็นน้ำบ้วนปากได้เช่นกัน
–น้ำมันหรือเจลว่านหางจระเข้สามารถที่จะทาบริเวณในปากได้
–ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ทุกวันประมาณ 1 – 2 แก้วทุกวัน
–มีบางคนไม่สามารถดื่มได้ก็ทำเป็นน้ำบ้วนปากได้เช่นกัน
–น้ำมันหรือเจลว่านหางจระเข้สามารถที่จะทาบริเวณในปากได้
5.น้ำมันองุ่น น้ำมันองุ่นมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปากแห้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง และมีวิตามินซีรักษาแผลในปากได้
1.ใช้น้ำมันองุ่น ทาในปากและที่ลิ้น และด้านใน
2.ทิ้งไว้ทั้งคืน
3.ให้ล้างปากแล้วแปรงฟันตามปกติ
4.ทำช้ำทุกวันก่อนนอ
1.ใช้น้ำมันองุ่น ทาในปากและที่ลิ้น และด้านใน
2.ทิ้งไว้ทั้งคืน
3.ให้ล้างปากแล้วแปรงฟันตามปกติ
4.ทำช้ำทุกวันก่อนนอ
6.มะนาว น้ำมะนาวที่มีรสเปรี้ยวจะช่วยให้กระตุ้นน้ำลายออกมาได้ และยังมีผลไม้ชนิดอื่นที่ทำให้เรารู้สึกเปรี้ยวปากแล้วน้ำลายไหลก็สามารถที่จะกินได้บ่อยๆได้เช่นเดียวกัน น้ำมะนาวสามารถที่จะดับกลิ่นปากได้ดี
–ผสมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งเล็กน้อยลงในแก้ว ให้จิบตลอดทั้งวัน
–สามารถที่จะดื่มน้ำมะนาวไม่ผสมน้ำตาลบ่อยๆได้
–ให้นำมะนาวฝานเป็นชิ้นเล็กๆ และโรยด้วยเกลือ ทำการบีบน้ำมะนาวลงที่ลิ้น
–ผสมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งเล็กน้อยลงในแก้ว ให้จิบตลอดทั้งวัน
–สามารถที่จะดื่มน้ำมะนาวไม่ผสมน้ำตาลบ่อยๆได้
–ให้นำมะนาวฝานเป็นชิ้นเล็กๆ และโรยด้วยเกลือ ทำการบีบน้ำมะนาวลงที่ลิ้น
7.กระวาน กระวานสามารถที่จะรักษาปากแห้งและลดกลิ่นปากได้
–เคี้ยวกระวานหลังอาหารที่ตามต้องการที่ปากแห้ง
–นอกจากนั้นยังสามารถใช้กระวานล้างปากของคุณวันละสองครั้งได้
–เคี้ยวกระวานหลังอาหารที่ตามต้องการที่ปากแห้ง
–นอกจากนั้นยังสามารถใช้กระวานล้างปากของคุณวันละสองครั้งได้
8.ขิง ขิงสามารถรักษาอาการปากแห้งได้ มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นต่อมน้ำลายออกมา
–เคี้ยวขิงให้เป็นชิ้นเล็กๆ ทำบ่อยๆ จะลดอาการปากแห้งได้
–หรือดื่มน้ำขิงวันละ 2 – 3 แก้ว ผสมกับน้ำผึ้งทำให้ประสิทธิภาพที่ดี
–เคี้ยวขิงให้เป็นชิ้นเล็กๆ ทำบ่อยๆ จะลดอาการปากแห้งได้
–หรือดื่มน้ำขิงวันละ 2 – 3 แก้ว ผสมกับน้ำผึ้งทำให้ประสิทธิภาพที่ดี
แนะนำเพิ่มเติม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยง ลูกอม หมากฝรั่งที่มีน้ำตาล
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ 3 – 4 ครั้งต่อวัน
- ให้นอนในบริเวณที่มีความชื้นพอเหมาะสมกับร่างกาย
- ลดอาหารที่มีรสจัดหรือว่าละคายเคืองปาก
เล็บบอกโรคอะไรเราได้บ้าง?????
โรคเกือบทุกโรคมักเกิดจากความผิดปกติของร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งละไปกระทบอีกส่วนหนึ่งได้ แล้วยังมีอวัยวะบางส่วนที่ส่งผลกระทบถึงกันได้ด้วย แต่ก็มีหลายโรคที่เชื่อมต่อด้วยกันอย่างเช่นเล็บที่สามารถบอกถึงความผิดปกติของร่างกายได้บางอย่าง อย่างเช่นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ และยังมีโรคอีกมากที่เล็บสามารถบอกความผิดปกติเกราะมีความเชื่อมโยงกัน การขาดสารอาหารบางอย่างมีผลกระทบกับเล็กได้อย่างเช่นแร่ธาตุและวิตามิน ดังนั้นแล้วการที่เล็บของเรามีความผิดปกติก็บ่งบอกจึงอาการของโรคที่จะตามมาได้เราควรที่จะดูแลเล็บของตัวเองบ่อยๆ
- ความผิดปกติของต่อมไทยรอยด์ เช่นไฮเปอร์ไทรอยดิลิซึม หรือไฮไทยนอยลิซึม มีการเชื่อมโยงกับเล็บและต่อมไทรอยด์ มักจะเกิดขึ้นกับเล็บมือจะเป็นนิ้วกลางและนิ้วก้อย เล็บจะมีลักษณะโกรงตัวขึ้นออกจากนิ้วมือ ซึ่งส่งผลทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้าไปในเล็บได้ง่ายด้วย
- หัวใจและหลอดเลือด ปัญหาทั้งหลายเกี่ยวกับหัวใจเช่น ความดันผิดปกติ มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โดยเล็บสามารถบอกถึงความผิดปกติ จะเป็นเส้นเลือดสีแดงอยู่ในเล็บหรือจะเป็นเศษเลือดภายในเล็บ หรือเล็บนุ่มไม่แข็งแรงเหมือนเก่า
- ความเครียด มีการพบว่าคนจำนวนไม่น้อยเครียดแล้วจะกัดแทะเล็บตัวเอง ซึ่งจะทำให้เล็บฉีกอาจเหมือนจะไม่ร้ายแรงแต่สามารถนำเชื้อโรคเข้าไปในเล็บได้ง่ายขึ้น ทำให้เล็บติดเชื้อต่างๆตามาได้หากพบว่าคนใกล้ตัวเรากัดเล็บควรที่จะนำไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจว่ามีความเครียดสูงหรือให้ผ่อนคลายบ้าง
- โรคเบาหวาน เล็บจะเห็นสีเหลืองมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการเป็นเบาหวาน โดยจะเหลืองทั้งเล็บและนิ้วมือ แต่จะเห็นได้ชัดเจนที่เล็บ เนื่องจากระดับน้ำตาลมีส่วนเกี่ยวกับกับโปรตีนในเล็บ หากพบว่ามีเล็บที่เหลืองมากกว่าผิดปกติหรือว่าเป็นบากแผลแล้วหายช้า กระหายน้ำบ่อยควรไปพบแพทย์
- โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับข้ออักเสบ มักเกี่ยวข้องกับเล็บด้วยเพราะว่าการขาดแคลเซียมและโปรตีนมีผลต่อทั้งเล็บและกระดูก ทำให้เล็บหักง่าย ฉีกง่าย เปราะบาง
- โรคสะเก็ดเงิน เล็บจะเหลืองและมีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจะเป็นหลุมลงไป
- โภชนาการบกพร่อง เล็บสามารถบอกได้ว่าร่างกายของเราขาดสารได้บางตัว หากต้องการเล็บสวยต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 ไขมัน โปรตีน และเหล็ก หากเล็บซีดและสีขาว มักพบกับคนที่ขาดธาตุเหล็กเป็นโลหิตจาง และได้รับโปรตีนที่น้อยนอกจากนั้นยังพบว่าโรคขาดสารอาหารบางอย่างเหล่านี้จะทำให้เล็บมีรูปร่างที่ผิดปกติด้วย
- การติดเชื้อ เล็บเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ปลายนิ้วจะทำให้สัมผัสเชื้อโรคได้ง่าย โดยจะมีลักษณะสีแดงมีอาการคันที่รอบเล็บ เล็บเท้ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากส่วนมากจะเป็นเชื้อรา แบคทีเรีย ถึงแม้จะเป็นแค่ที่เล็บแค่ยังบ่งบอกจึงภูมิคุ้มกันอ่อนแอด้วย เชื้อแบคทีเรียทำให้เล็บไม่น่าดูและหลุดออกมาง่ายหากมีรักษาอาจจะเปลี่ยนรูปไปตลอด
เพิ่มเติม ป้องกันเล็บติดเชื้อ
- สวมถุงมือเมื่อต้องนำมือไปสัมผัสสิ่งของสกปรก อย่างเช่นทำความสะอาด ทำสวน
- ทำการตัดเล็บให้สั้นพอไม่มากไม่น้อยอย่างสม่ำเสมอ อย่างทำการฉีกเล็บหากพบว่าเล็บฉีกให้ตัดออก
- เมื่อเล็บแห้งใช้ครีมหรือน้ำมันทาเล็บเพื่อให้เล็บชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีที่รุนแรง
- ให้ล้างมือด้วยสบู่ที่อ่อนไม่ควรใช้สบู่ที่รุนแรง
6 วิธีช่วยลดอาการปวดฟัน
อาการปวดฟันมักมาจากฟันผุเป็นอาการหนึ่งที่หลายคนต้องพบผ่านมาในช่วงหนึ่งของชีวิตแต่ส่วนมากมักเป็นจากวัยรุ่นที่ปวดจากฟันคุดหรือฟันกรามขึ้นส่วนวัยกลางคนมักเกิดจากฟันผุ ฟันกรามที่กำลังจะขึ้นนั้นจะออกมาหลังสุด การเกิดขึ้นของฟันกรามหากเกิดขึ้นโดยปกติคงไม่ได้ปวดอะไรมากแต่บางทีจะเกิดขึ้นทำให้มีปัญหาเรื่องการปวดมากเนื่องจากช่วงที่กำลังขึ้นจากเหงือกในบางคนนั้นจะไปดันเหงือกออกมาและไปดันฟันซี่อื่นด้วยจึงทำให้มีอาการปวดที่รุนแรงยังส่งผลกระทบต่อการเคี้ยวอาหาร ลมหายใจ และการพูดอีกด้วย สำหรับการรักษาโดยทั่วไปก็ต้องเอาออกเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่บางคนไม่ต้องการเอาออกสามารถใช้วิธีในการลดความปวดได้
1.เกลือ สำหรับเกลือนั้นเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ดั้งเดิมนำมาช่วยอาการปวดฟัน ลดอาการอักเสบของเกลือและลดอาการติดเชื้อได้
– ผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่นบ้วน 2 – 3 ครั้งต่อวัน จดลดอาการปวดได้
– ผสมเกลือกับพริกไทย แล้ววางบนฟันที่มีอาการปวด 2 – 3 ครั้งต่อวัน
– ผสมเกลือกับพริกไทย แล้ววางบนฟันที่มีอาการปวด 2 – 3 ครั้งต่อวัน
2.กระเทียม กระเทียมก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ใช้มาแต่โบราณ มีสรรพคุณในการลดอาการอักเสบ บรรเทาอาการปวดฟันได้
– น้ำกระเทียม มาบดเพียงเล็กน้อย นำไปใส่ฟันที่ปวด
– เคี้ยวกระเทียม 2 – 3 กลีบโดยใช้ฟันที่ปวดในการบดเคี้ยว
– นำกระเทียม 2 – 3 กลีบผสมกับเกลือเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วใส่กับฟันที่ปวด
– เคี้ยวกระเทียม 2 – 3 กลีบโดยใช้ฟันที่ปวดในการบดเคี้ยว
– นำกระเทียม 2 – 3 กลีบผสมกับเกลือเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วใส่กับฟันที่ปวด
3.หัวหอม หัวหอมเป็นยาฆ่าเชื้อโรคและต้านแบคทีเรีย ลดอาการปวดฟัน
– นำหัวหอมเคี้ยวในบริเวณที่ปวดฟัน
– นำหัวหอมดิบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางลงบนฟันที่ปาก
– นำหัวหอมดิบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางลงบนฟันที่ปาก
4.ใบฝรั่ง สามารถลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี
– ให้เคี้ยวใบฝรั่ง 1 – 2 ใบ ปล่อยน้ำให้เข้าไปในปาก ทำวันละ 3 ครั้ง
– นำใบฝรั่ง 4 – 5 ใบ ต้มในน้ำ 1 ถ้วย 5 นาที รอให้น้ำเย็น นำมาบ้วนปาก 2 – 3 ครั้งต่อวัน
– นำใบฝรั่ง 4 – 5 ใบ ต้มในน้ำ 1 ถ้วย 5 นาที รอให้น้ำเย็น นำมาบ้วนปาก 2 – 3 ครั้งต่อวัน
5.กานพลู เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน กานพลูเองเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่สำคัญในนำมาผสมในยาสีฟันสูตรสมุนไพรยี่ห้อต่างๆ ป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันกลิ่นปาก สามารถใช้ได้ทั้งกานพลูเองหรือจะเป็นน้ำมันกานพลูมาใช้เพราะว่าจะมีความสะดวก โดยใช้สำลีชุบน้ำมันกานพลูมาวางบริเวณรอบเหงือก ทำวันละ 2 – 3 ครั้งหากน้ำมันแรงเกินไปสามารถเจือจางกับน้ำมันมะกอกได้
6.สะระแหน่ มีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวดฟัน กำจัดแบคทีเรียในช่องปาก สามารถใช้ได้ทั้งใบหรือว่าน้ำมันสะระแหน่ก็ได้ โดยการนำเอาใบสะระแหน่มาบดใส่ฟันที่ปวดหรือว่า นำเอาน้ำมันทาที่บริเวณปวด ทิ้งไว้ 2 – 3 นาทีบ้วนด้วยน้ำอุ่น
วิธีรักษาเสียงแหบแห้ง
อาการของเสียงแหบแห้งเป็นอาการหนึ่งเมื่อเวลาพูดจะเป็นเสียงที่ผิดปกติแปลกไปจากเดิมหรือเป็นลักษณะที่ไม่มีเสียงไปเลย การที่จะเปล่งเสียงออกมาจะไม่ได้ดังออกเหมือนเสียงปกติและต้องเปล่งเสียงออกมามากกว่าเดิมเพื่อให้เสียงที่ดังขึ้น ในบางครั้งอาจจะทำให้เจ็บคอจนต้องเปล่งเสียงดังไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ใช้เสียงประจำ อย่างเช่นนักร้อง ครู หรือใครก็ตามที่ใช้การพูดเป็นหลัก
สาเหตุที่พบบ่อย เกิดจากใช้เสียงเป็นระยะเวลานาน ระบบทางเดินหายใจส่วนบนติดเชื้อไวรัส ไอบ่อย ภูมิแพ้ สูบบุหรี่ เป็นหวัด
สาเหตุที่พบได้น้อย มะเร็วในลำคอ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้องเสียงอักเสบ
สาเหตุที่พบบ่อย เกิดจากใช้เสียงเป็นระยะเวลานาน ระบบทางเดินหายใจส่วนบนติดเชื้อไวรัส ไอบ่อย ภูมิแพ้ สูบบุหรี่ เป็นหวัด
สาเหตุที่พบได้น้อย มะเร็วในลำคอ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้องเสียงอักเสบ
หากพบว่าตัวเองมีอาการดังกล่าวให้รักษาโดยใช้เสียงให้ลดน้อยลง ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้อาการบรรเทาลงได้ แต่หากต้องการรักษาให้หายเร็วขึ้นหรือผู้ที่เห็นแล้วไม่หายสักที สามารถใช้วิธีการดังนี้เพื่อบรรเทาอาการ
1.กระเทียม ให้ห้องครัวเราต้องมีกระเทียมอยู่แล้วถ้าไม่มีก็หาซื้อมา ช่วยรักษาเสียงแหบได้เพราะกระเทียมสามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในลำคอเราทำให้เสียงสดใสกลับมาดังเดิมได้ นำกระเทียม 4 – 5 กลีบ มาบดให้ละเอียดผสมน้ำหนึ่งแก้ว ค่อยๆจิบวันละ 3 ครั้งจนกว่าอาการจะดีขึ้น
2.มะนาว มะนาวเป็นสมุนไพรโบราณรักษาเสียงของเราได้ โดยจะทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการเจ็บและอักเสบพร้อมกันนั้นยังมีวิตามินซี ที่ช่วยในการต้านเชื้อโรคลดอาการอักเสบ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งอย่าละเท่ากันผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้วจิบที่ละน้อย หรือนำน้ำมะนาวผ่าซีกโรยด้วยเกลือเล็กน้อย บีบลงไปในลำคอวันละ 3 ครั้ง
3.ขิง ขิงมีสรรพคุณในการรักษาลำคอได้ดีจึงช่วยบรรเทาอากาศเสียงแหบได้ ลดอาการอักเสบ ช่วยในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นำขิงสด โรยเกลือกับน้ำมะนาวเล็กน้อย รับประทานบ่อยๆ นอกจากนั้นยังดื่มน้ำขิงอุ่น ช่วยให้อาการเสียงแหบลดลงได้เช่นกัน
4.พริกป่น ช่วยในเรื่องบรรเทาอาการละคายเคืองที่ลำคอ ลดอาการติดเชื้อในลำคอ นำพริกป่น 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กินได้เลยหรือหากเผ็ดมากก็ลดพริกป่นเป็นครึ่งช้อนชา
5.น้ำผึ้ง น้ำผึ้งมีประสิทธิภาพ บรรเทาอาการละคายเคืองที่ลพคอ ทำให้ซุ่มคอ ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ช่วยให้อาการเสียงแหบดีขึ้น
6.น้ำเกลือบ้วนปาก ใช้เกลือ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำอุ่นคนให้เข้ากันละลายให้มดแล้วทำเป็นน้ำยาบ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง
2.มะนาว มะนาวเป็นสมุนไพรโบราณรักษาเสียงของเราได้ โดยจะทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการเจ็บและอักเสบพร้อมกันนั้นยังมีวิตามินซี ที่ช่วยในการต้านเชื้อโรคลดอาการอักเสบ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งอย่าละเท่ากันผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้วจิบที่ละน้อย หรือนำน้ำมะนาวผ่าซีกโรยด้วยเกลือเล็กน้อย บีบลงไปในลำคอวันละ 3 ครั้ง
3.ขิง ขิงมีสรรพคุณในการรักษาลำคอได้ดีจึงช่วยบรรเทาอากาศเสียงแหบได้ ลดอาการอักเสบ ช่วยในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นำขิงสด โรยเกลือกับน้ำมะนาวเล็กน้อย รับประทานบ่อยๆ นอกจากนั้นยังดื่มน้ำขิงอุ่น ช่วยให้อาการเสียงแหบลดลงได้เช่นกัน
4.พริกป่น ช่วยในเรื่องบรรเทาอาการละคายเคืองที่ลำคอ ลดอาการติดเชื้อในลำคอ นำพริกป่น 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กินได้เลยหรือหากเผ็ดมากก็ลดพริกป่นเป็นครึ่งช้อนชา
5.น้ำผึ้ง น้ำผึ้งมีประสิทธิภาพ บรรเทาอาการละคายเคืองที่ลพคอ ทำให้ซุ่มคอ ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ช่วยให้อาการเสียงแหบดีขึ้น
6.น้ำเกลือบ้วนปาก ใช้เกลือ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำอุ่นคนให้เข้ากันละลายให้มดแล้วทำเป็นน้ำยาบ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง
ถึงสาว ๆ ...... ที่อยากได้แฟนรวย
เรื่องของสาวสวยกะนักค้าหุ้น ในวันขาขึ้น
คือว่าเรื่องมันมีอยู่ว่ามี E-mail จากสาวสวยคนนึงเขียนถึงผู้ชายที่รู้จักในเน็ทหลายๆคนว่า
ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 171 ซม. น้ำหนัก 51 กิโล ส่วนสัด 35-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม
ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สัก 200,000+ ต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณนี้แค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหม
มีใครในพันทิพห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ? พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนที่มีฐานะดีๆ อย่างพวกคุณ
คนที่ดิฉันเคยคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆ รายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะคิดไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ
1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปเที่ยวต่อที่ไหนกันคะ? ( ชื่อร้าน, ผับ, fitness, ฯลฯ)
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ?
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนฐานะดีๆ ถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมแย่ๆล่ะคะ?
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ?
หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มี E-mail จากชายหนุ่มคนนึงตอบกลับมาว่า
ถึงคุณสุดสวยครับ…หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ
รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ
จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ “ความสวย” เพื่อแลกกับ “เงิน”
เมื่อคุณมีความสวยและผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้น จืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร
หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปีและมีแนวโน้มที่จะลดลงๆในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร
นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุก ๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการอาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆ อย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะใช้วิธีการ “เช่าซื้อ” แทน
แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกิน 200,000 บาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ
ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่า คุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกิน 200,000 บาทแทนซะเอง
ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง (รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย)
ปลูกอะไร.....ก็จะได้อย่างนั้น
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มชรา และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือลูกชายของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขามารวมกัน แล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ และฉันก็จะตัดสินใจเลือกหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ กิตติ เขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี
ผ่านไปหนึ่งเดือน พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่น ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับ และคุยกันถึงเรื่องความเติบโตของต้นไม้ แต่กิตติก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 2 เดือนผ่านไป .. 3 เดือนผ่านไป.. 4 เดือนผ่านไป ก็ยังไม่เห็นต้นไม้งอกออกมาเลย
ตอนนี้หนุ่มๆ ได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่กิตติไม่รู้จะคุยอะไร เพราะต้นไม่ของเขาไม่งอกออกมา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 10 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำให้มันเติบโตได้แน่ๆแล้ว
ทุกๆคน มีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นกิตติที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบตามกำหนดเวลา 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEO ได้ตัดสิน… กิตติพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอสกระถางเปล่าๆใบนี้ไปโชว์ เพราะมันปลูกไม่ขึ้น” ภรรยาบอกเขาว่า ให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง กิตติรู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้อง CEO ที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อกิตติมาถึง เขารู้สึกแย่เนื่องจาก ต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรง สวยงามกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของกิตติ ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน กิตติได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคุณจะได้เลื่อนเป็นCEO ก็วันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของกิตติ ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกกิตติขึ้นมาข้างหน้า กิตติรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อกิตติเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” กิตติก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตามจริง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นกิตติ
ท่านมองมาที่กิตติแล้วก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. กิตติ”
กิตติแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้ยังไง และแล้วท่านประธานก็กล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกๆคน และให้ดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นกิตติ นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนสินะ กิตติเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง กิตติ ให้เป็น CEO คนต่อไปของบริษัทเรา”
ข้อคิดที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ลองคิดดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
ข้อคิดดีๆ จากเทียน 4 เล่ม
เปลวเทียนทั้ง 4 เล่ม ค่อยๆ พลิ้วไหวไปอย่างช้าๆ
บรรยากาศรอบข้าง ช่างแผ่วเบายิ่งนัก
หากเราเงี่ยหูฟัง จะได้ยินเทียนทั้งสี่สนทนากัน . . .
.......เทียนเล่มแรก เอ่ย ‘ฉันคือ สันติภาพ น่าเศร้าเหลือเกิน
ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากให้ฉัน สว่างไสว’
แสงของ ‘สันติภาพ’ ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากให้ฉัน สว่างไสว’
แสงของ ‘สันติภาพ’ ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
........เทียนเล่มที่สอง เอ่ย ‘ฉันคือ ศรัทธา น่าเศร้าหนักหนา
ทุกวันนี้ ไม่มีใครต้องการ’
แสงของ ‘ศรัทธา’ ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
ทุกวันนี้ ไม่มีใครต้องการ’
แสงของ ‘ศรัทธา’ ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
........เสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเศร้าใจ เทียนเล่มที่สาม กล่าว ‘ฉันคือ ความรัก
ฉันไม่เข้มแข็งพอ ที่จะส่องสว่างต่อไป’
‘ผู้คนเพิกเฉยและไม่เห็นค่าของฉัน
แม้แต่คนใกล้ชิด พวกเขายังไม่คิดจะเติมรักให้แก่กัน’
ว่าดังนั้น พลัน ‘ความรัก’ ก็ดับไป
ฉันไม่เข้มแข็งพอ ที่จะส่องสว่างต่อไป’
‘ผู้คนเพิกเฉยและไม่เห็นค่าของฉัน
แม้แต่คนใกล้ชิด พวกเขายังไม่คิดจะเติมรักให้แก่กัน’
ว่าดังนั้น พลัน ‘ความรัก’ ก็ดับไป
ไม่ช้าไม่นาน…เด็กน้อยคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
เมื่อพบเทียนสามเล่มดับไป เขาเริ่มร่ำไห้และหลั่งน้ำตา
‘ทำไมพวกเธอถึงดับไป พวกเธอต้องสว่างไสวตราบนิรันดร์ไม่ใช่หรือ’
เมื่อพบเทียนสามเล่มดับไป เขาเริ่มร่ำไห้และหลั่งน้ำตา
‘ทำไมพวกเธอถึงดับไป พวกเธอต้องสว่างไสวตราบนิรันดร์ไม่ใช่หรือ’
ทันใด เทียนเล่มที่สี่ กระซิบอย่างแผ่วเบา
‘อย่ากลัวไปเลยหนูน้อย ตัวฉันนี้คือ ความหวัง ตราบใดที่ฉันยังส่องสว่างอยู่ได้
เทียนสามเล่มนั้น จะกลับมาไม่ช้านาน’
‘อย่ากลัวไปเลยหนูน้อย ตัวฉันนี้คือ ความหวัง ตราบใดที่ฉันยังส่องสว่างอยู่ได้
เทียนสามเล่มนั้น จะกลับมาไม่ช้านาน’
เด็กชายตัวน้อย ตาเป็นประกายด้วยความปิติ
สองมือนั้นค่อยๆ จุด ‘เทียนแห่งความหวัง’ พร้อมกันกับเทียนอีกสามเล่ม
สองมือนั้นค่อยๆ จุด ‘เทียนแห่งความหวัง’ พร้อมกันกับเทียนอีกสามเล่ม
อย่าปล่อยให้ ‘แสงแห่งความหวัง’ ในชีวิตเราดับไป
ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายหรือแย่สักแค่ไหน
เมื่อเรามี ความหวัง แล้วไซร้ . . .
สันติภาพ ศรัทธา และ ความรัก ก็จะส่องสว่างอยู่ในตัวเราเสมอ
ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายหรือแย่สักแค่ไหน
เมื่อเรามี ความหวัง แล้วไซร้ . . .
สันติภาพ ศรัทธา และ ความรัก ก็จะส่องสว่างอยู่ในตัวเราเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า......
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยากล่อมประสาทที่ดีที่สุด คือ สติสัมปชัญญะนั่นเอง
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การฟังเพลงเบาๆ ในยามโศกเศร้านั้น ช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจให้เบาบางลงไปได้อย่างมากมาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณหาเงินได้มากขึ้น แต่ไม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากเราละเลยความผูกพันกับพ่อแม่แล้วไซร้ เราจะหวนไห้คิดถึงท่านเจียนตายยามเมื่อท่านจากไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... อย่ากอดรัดลูกให้แน่นเกินไป มันอาจจะกลายเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ผู้หญิงทุกคนอยากได้รับดอกไม้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้รักและถูกรัก เป็นความรื่นรมย์อันยิ่งใหญ่ทีสุดในโลก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณอาจรักใครบางคน ทั้งที่ไม่ได้ชอบเขามากมายก็ได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดไปมากกว่าความเกลียดชัง นั่นคือ ความเมินเฉย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... แม้ฉันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่อย่างเจ็บปวดเสมอไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ความเอื้ออาทรนั้น เพียบพร้อมสำคัญกว่าความบริบูรณ์เสียอีก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การลืมสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั้น สำคัญพอกับการจดจำสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การคาดเดานั้น มักจะเลิศหรูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันไม่อาจคาดหวังผู้อื่นให้แก้ปัญหาของฉันได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... เมื่อสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา คุณจะปล่อยให้มันสร้างความขมขื่นใจให้คุณ หรือใช้มันเป็นพลังทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราปล่อยให้มันผ่านไปได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากต้องการคำตอบที่ดี ก็ควรถามคำถามที่ดีด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ระดับความมั่นใจในตัวเองของคนๆ หนึ่ง จะเป็นตัวบอกของระดับความสำเร็จของเขาด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... อาจจะมีใครที่รักคุณอย่างจริงจังอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกให้คุณรู้ได้อย่างไร
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ในที่สุดแล้ว ผู้รับจะเป็นผู้แพ้ และผู้ให้นั่นแหละคือผู้ชนะ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเรียนรู้ที่จะให้อภัยนั้น ต้องการการฝึกฝน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คนไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ โดยไม่รู้จักลงมือทำ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... เคล็ดลับของการเติบโตอย่างสง่าผ่าเผย คือ อย่าหมดความกระตือรือล้นที่จะพบหาผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งดีๆ นั้น มักเกิดขึ้นกับคนดีเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เป็นเรื่องยากกว่าที่ฉันเคยคิดเอาไว้มาก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเยียวยารักษามิตรภาพที่บอบช้ำนั้น ทำเมื่อไรก็ไม่สาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การที่จะรู้ค่าอะไรสักอย่างนั้น คุณจะต้องขาดมันไปสักพักก่อน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การฟังเพลงเบาๆ ในยามโศกเศร้านั้น ช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจให้เบาบางลงไปได้อย่างมากมาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณหาเงินได้มากขึ้น แต่ไม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากเราละเลยความผูกพันกับพ่อแม่แล้วไซร้ เราจะหวนไห้คิดถึงท่านเจียนตายยามเมื่อท่านจากไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... อย่ากอดรัดลูกให้แน่นเกินไป มันอาจจะกลายเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ผู้หญิงทุกคนอยากได้รับดอกไม้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้รักและถูกรัก เป็นความรื่นรมย์อันยิ่งใหญ่ทีสุดในโลก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณอาจรักใครบางคน ทั้งที่ไม่ได้ชอบเขามากมายก็ได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดไปมากกว่าความเกลียดชัง นั่นคือ ความเมินเฉย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... แม้ฉันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่อย่างเจ็บปวดเสมอไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ความเอื้ออาทรนั้น เพียบพร้อมสำคัญกว่าความบริบูรณ์เสียอีก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การลืมสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั้น สำคัญพอกับการจดจำสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การคาดเดานั้น มักจะเลิศหรูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันไม่อาจคาดหวังผู้อื่นให้แก้ปัญหาของฉันได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... เมื่อสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา คุณจะปล่อยให้มันสร้างความขมขื่นใจให้คุณ หรือใช้มันเป็นพลังทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราปล่อยให้มันผ่านไปได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากต้องการคำตอบที่ดี ก็ควรถามคำถามที่ดีด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ระดับความมั่นใจในตัวเองของคนๆ หนึ่ง จะเป็นตัวบอกของระดับความสำเร็จของเขาด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... อาจจะมีใครที่รักคุณอย่างจริงจังอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกให้คุณรู้ได้อย่างไร
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ในที่สุดแล้ว ผู้รับจะเป็นผู้แพ้ และผู้ให้นั่นแหละคือผู้ชนะ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเรียนรู้ที่จะให้อภัยนั้น ต้องการการฝึกฝน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คนไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ โดยไม่รู้จักลงมือทำ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... เคล็ดลับของการเติบโตอย่างสง่าผ่าเผย คือ อย่าหมดความกระตือรือล้นที่จะพบหาผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งดีๆ นั้น มักเกิดขึ้นกับคนดีเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เป็นเรื่องยากกว่าที่ฉันเคยคิดเอาไว้มาก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเยียวยารักษามิตรภาพที่บอบช้ำนั้น ทำเมื่อไรก็ไม่สาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การที่จะรู้ค่าอะไรสักอย่างนั้น คุณจะต้องขาดมันไปสักพักก่อน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กาฝากชีวิต
ที่บ้านผมมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ผมรักมาก แต่ต้นไม้ต้นนี้มักเจอกับศัตรูคุกคามอยู่บ่อยครั้ง ศัตรูที่ผมพูดนี้ไม่ใช่หนอนหรือแมลงหรือโรค แต่มันคือ ...
-
อย่าดูถูกใคร ถ้าคุณไม่ได้วิเศษมาจากไหน อย่าเหยียมหยามใคร ถ้าคุณยังเดินบนดิน อย่าหมิ่นศักดิ์ศรีใคร หรือรังแกข่มเหงใครๆ จงจำไว้ว่...
-
อย่าใช้แบบผิดๆ ยาธาตุน้ำแดง-น้ำขาว ใช้แบบไหน แก้อะไร? ยาธาตุน้ำแดง เป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีข้อบ่งใช้เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืด จุกเสีย...
-
จำเป็นต้องรู้ เพราะไม่ใช่การรักษาทางทันตกรรมใด ๆ แต่มีจุดประสงค์เพื่อความสวยงามหรือทันสมัยเท่านั้น อันตรายจากการจัดฟันที่ไม่ใช่ทันตแพทย...